วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Review : หมู่เกาะสุรินทร์

          อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ ตั้งอยู่ที่ อ.คุระบุรี จ.พังงา โดยนั่งเรือจากท่าเรือคุระบุรีออกไปประมาณ 60 กิโลเมตร ถ้านั่งเรื่อสปีดโบ้ท ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เนื่องจากเป็นการไปครั้งแรก ในการเดินทางครั้งนี้จึงใช้บริการบริษัททัวร์ที่อยู่ที่ตัวอำเภอคุระบุรี ชื่อว่า บาราคูดา ไดฟ์วิ่ง (http://www.barracudadive.com) ซึ่งเป็นแพ็คเกจทัวร์ 2 วัน 1 คืน ราคาสำหรับแพ็คเกจนี้คือ 4,400 บาทต่อคน เริ่มเลยนะครับ เช้าวันที่เดินทางทัวร์นัด 07.30 น.

พร้อมกันที่บริษัท บาราคูดา ไดฟ์วิ่ง จำกัด  อ.คุระบุรี รับประทานอาหารว่าง  ชากาแฟ  รับอุปกรณ์ดำผิวน้ำ  เตรียมสัมภาระส่วนตัว เสร็จภารกิจเรียบร้อยแล้วขึ้นรถไปท่าเรือคุระบุรี ซึ่งทางบริษัททัวร์พาไป ใครพารถยนต์ส่วนไปสามารถฝากไว้กับบริษัททัวร์ได้


เรือที่ใช้ในการเดินทางเป็นเรือ Speed boat ลำเล็กๆ ในรูปด้านบน


ทริปนี้มีทั้งเด็ก สาวสวยๆ คนมีอายุ แขก ไทย ฝรั่ง อิอิ



ถึงแล้วครับ สัมผัสแรกที่ได้เห็นน้ำทะเลใสมากๆๆ ถึงมากที่สุด ท้องฟ้าก็สวยงามมาก



มาถึงแล้วก็ต้องถ่ายรูปกับป้ายก่อน เพื่อจะได้เอาไปบอกใครๆ ว่ามาถึงแล้ว 55




ตรงนี้เป็นช่องแคบระหว่างเกาะสุรินทร์เหนือกับเกาะสุรินทร์ใต้ เรียกว่า อ่าวช่องขาด ซึ่งในขณะน้ำลด สามารถเดินข้ามไปได้ แต่ต้องดูว่ากระแสน้ำเชี่ยวรึเปล่า


ที่นั่งใต้ต้นไม้และด้านหลังเป็นร้านอาหาร ที่มีเพียงแห่งเดียวบนเกาะนี้ 


นี้เป็นสัตว์ป่าประเภทเดียวกับค้างคาวแม่ไก่ มีชื่อว่าตัวบ่าง กลางวันจะนอนเกาะอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่


อาหารมือแรกบนเกาะที่บริษัททัวร์จัดให้ รสชาติก็อร่อยทีเดียวครับ


เต้นที่พักที่ทางบริษัททัวร์จัดให้ นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวที่นี่ส่วนมากจะนอนเต้นกันเป็นส่วนใหญ่เนื่องจากราคาถูกเพียงหลังละ 200 บาทต่อคืน


บ้านพักของอุทยานฯ ก็มีครับ ทราบมาว่าหลังละ 2,000 บาทต่อคืน


ช่วงบ่ายทางทัวร์พาไปดำน้ำ 2 จุด โดยเรือหางยาวครับ พร้อมอุปกรณ์ครบชุด เสื้อชูชีพ แว่นตาดำน้ำ ท่อสำหรับหายใจทางปาก (สน๊อคเกิ้น) 


กลับมาตอนเย็นพักผ่อน เดินชมหาด ตกค่ำที่นี่จะมีเครื่องปั่นไฟให้ แสงสว่างทั่วบริเวณที่พัก มีโทรทัศน์ให้ดู อ้อ ลืมบอกไปว่าที่นี่ใช้โทรศัพท์ได้ปกติ แต่เฉพาะเครือข่าย AIS และ DTAC เท่านั้น


มื้อค่ำก็อร่อยเช่นเดิมครับ มีแกงส้มหน่อไม้ดองด้วย


บรรยากาศโต๊ะอื่นที่นั่งรับประทานอาหารด้วยกัน


เสร็จแล้วเดินให้อาหารย่อยสักหิดนึงริมหาด ผมชอบเจ้าตัวปูเสฉวน ที่พบได้บริเวณเกาะแถบนี้เท่านั้น เป็นปูที่อาศัยเปลือกหอยตัวอื่นอาศัย หลังจากเดินให้อาหารย่อยก็ได้เวลานอนท่ามกลางธรรมชาติ เย็นสบายเลยครับ


ตื่นมาตอนเช้า ภาพด้านบนเป็นที่ล้างตัว หรือจะอาบน้ำเลยก็ได้ ห้องน้ำ ห้องส้วมมีครบครับ แต่ไม่ได้ถ่ายมา


อาหารมื้อเช้าเป็นข้าวผัด สำหรับที่นี่ใครจะทานอะไรต้องสั่งล่วงหน้าอย่างน้อยครึ่งวันนะครับ


เสร็จจากการกินเช้าก็มาเดินถ่ายรูปกันสักหน่อย 


จากนั้นก็นั่งเรื่อออกไปดำน้ำอีก 2 จุด



มาถึงจุดดำน้ำ แล้วครับน้ำลึกไม่เกิน 10 เมตรครับ ปะการังสวย แต่เสียดายฟอกขาวซะเยอะ ปลาทะเลก็มีให้เห็นเยอะครับ สีสันสวยงามมาก กุ้งมังกร ปลาหมึกยักษ์ ก็ได้เห็น


ตัวผู้เขียนเองครับ ขอแอ็คชั่นในน้ำสักรูป สงสัยทริปหน้าได้หากล้องถ่ายใต้น้ำกันบ้างแล้ว จะได้แบ่งปันความสวยงามในโลกใต้น้ำได้



คู่รักร่วมทริปที่มาด้วยกัน เหมือนจะมาถ่าย Pre Wedding  


มาที่อ่าวไม้งามครับหาดทรายขาวสวย สาวฝั่งก็ขาวสวยด้วย 55



วิว ทิวทัศน์ ที่อ่าวไม้งามสวยทีเดียวครับ ที่นี่มีเต้นให้นอนพักได้ด้วย


ปูเสฉวน ถ่ายให้เห็นชัดๆ อีกรูป




คู่รักเค้าครับ



เป็นเรือลำที่ใช้เดินทางไปดำน้ำ


ประติมากรรมธรรมชาติ สวยทีเดียวครับ


วิวบริเวณอ่าวช่องขาด 




อาหารมื้อเที่ยง มื้อสุดท้ายของทริปนี้




ผมก็ไม่รู้ว่ามันเป็นตัวอะไร



หวังว่าคงได้ข้อมูล + รูปภาพสวยๆ หลายรูปนะครับ เที่่ยวทั่วไทย ไม่ไปไม่รู้ครับ ^^ พบกันใหม่ทริปหน้า

วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ทัวร์ญี่ปุ่น วันที่ 4 (นาริตะ – พระราชวังอิมพีเรียล – วัดอาซากุสะ – ฮาราจุกุ – ช้อปปิ้งเอออน พลาซ่า)


ทริปญี่ปุ่นวันสุดท้าย เริ่มต้นที่พระราชวังอิมพีเรียล ต่อด้วยวัดอาซากุสะ และฮาราจุ ซึ๋งทั้งหมดอยู่ในกรุงโตเกียว


 “พระราชวังอิมพีเรียล” อันเป็นที่ประทับของพระจักรพรรดิและพระราชวงศ์ของญี่ปุ่น ตั้งอยู่ท่ามกลางหมู่แมกไม้ที่ได้รับการบริจาคมาจากประชาชนทั่วประเทศเมื่อครั้งสร้างพระราชวังในสมัยสมเด็จพระจักรพรรดิเมจิ ด้วยเนื้อที่กว่า 270 เอเคอร์ ล้อมรอบด้วยกำแพงหินขนาดมหึมาและคูน้ำสมัยเอโดะ ... ชมสวน “โคเคียวไกเอน” ที่เต็มไปด้วยสนดัดสวยๆมากมายอายุกว่า 100 ปี ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกับ “สะพานนิจูบาชิ” ที่เชื่อมลานหินกรวดขนาดใหญ่ด้านนอกพาดผ่านคูพระราชวังชั้นในโดยมี “ฟุชิมิยากุระ” (หอฟุชิมิ) เป็นฉากหลัง


จากนั้น เดินทางไปยัง “วัดเซ็นโซจิ” หรือ “วัดอาซากุสะ” วัดที่เหล่าโชกุนและซามูไรให้ความเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างมาก นมัสการองค์เจ้าแม่กวนอิมทองคำที่ประดิษฐานในวิหารหลังใหญ่ ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกับ “คามินาริมง(ประตูฟ้าคำรณ)” ซึ่งมีโคมไฟสีแดงที่ได้ชื่อว่าเป็น “โคมไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก” แขวนอยู่ โดยมี “ถนนนากามิเสะ” ถนนร้านค้า แหล่งรวมสินค้าของที่ระลึกต่างๆมากมาย อาทิ พวงกุญแจ ตุ๊กตาแมวกวัก ดาบซามูไร ชุดกิโมโน ร่มญี่ปุ่น






ที่เห็นสูงอยู่เบื้องหลัง คือ“โตเกียวสกายทรี” โดยมีความสูงถึง 634 เมตร นับว่า เป็นหอคอยที่สูงที่สุดในโลก โตเกียว สกาย ทรี เริ่มก่อสร้างขึ้นเมื่อปี 2008ถูกออกแบบให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น ตึกส่งสัญญาณคลื่นโทรทัศน์ แบบดิจิตัล, วิทยุ, ระบบเครือข่ายไร้สาย, ห้องส่งสัญญาณโทรทัศน์ในโตเกียว, พื้นที่เพื่อการค้า, และจุดชมวิว 2ระดับ อยู่ที่ความสูง 350 เมตร และ 450 เมตร



 “คามินาริมง(ประตูฟ้าคำรณ)” ซึ่งมีโคมไฟสีแดงที่ได้ชื่อว่าเป็น “โคมไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก” 



เที่ยงนี้กับอาหารญี่ปุ่นแบบเซ็ตเมนู เทมปุระนุ่มอร่อย ทั้งเทมปุระกุ้งและเทมปุระผัก ซาชิมิหรือปลาดิบ ปลาย่างแบบญี่ปุ่น ไข่ตุ๋นรสเด็ด เครื่องเคียงผักดอง เสริฟพร้อมข้าวสวยญี่ปุ่น อยู่ใกล้ๆ กับวัดอาซากุสะ



จากนั้นไปช้อปปิ้งยังย่าน “ฮาราจูกุ” แหล่งรวมแฟชั่นทันสมัยของวัยรุ่นญี่ปุ่น อิสระกับการช้อปปิ้งยัง “ตรอกทาเคชิตะ” สองข้างทางเรียงรายไปด้วยร้านขายของวัยรุ่น เสื้อผ้า เครื่องประดับ รองเท้า กระเป๋า ร้านฟาสท์ฟูดที่วันสุดสัปดาห์จะเป็นแหล่งนัดพบของพวก “แต่งตัวประหลาด” มักมาแต่งหน้าและเปลี่ยนเสื้อผ้ากัน ร้านเครปญี่ปุ่นอร่อยๆมากมาย รวมถึงร้าน 100 เยน หรือ เลือกช้อปปิ้งแบบสบายๆ บนถนน “โอโมเตะซันโด” ย่านไลฟ์สไตล์อันทันสมัย อยู่ติดกับฮาราจูกุ โดยเดินตรงจาก Takeshita Dori ไปจนถึง Aoyama Dori ก็จะเจอ ถนนโอโมเตะซันโด ซึ่งขนานนามว่า "Champs-Elysees แห่งกรุงโตเกียว" เป็นย่านที่เต็มไปด้วยของแบรนด์เนม เหมาะกับนักช็อปที่มีทุนหนาหน่อย เช่น Prada,Louis Vuitton,Christian Dior เป็นต้นด้วยบรรยากาศคล้ายยุโรปกับตึกร้านค้าที่ออกแบบและตกแต่งสไตล์ยุโรปและปลูกต้นเซลโกเวียเป็นทิวแถว แหล่งรวมสินค้าแบรนด์เนมสุดหรูที่เรียงรายอยู่สองข้างทาง




เดินทางช้อปปิ้งกันต่อที่ “เอออน พลาซ่า” (อันเดียวกันกับอีออน ที่บ้านเรา) ศูนย์รวมแห่งสินค้าชั้นนำนานาชนิด อาทิ นาฬิกา, กล้อง, กระเป๋า, รองเท้า, เสื้อผ้า เป็นต้น และยังมี “ร้าน 100 เยน” สินค้าทีมีคุณภาพดีจากประเทศญี่ปุ่นแต่ราคาแสนจะถูก อยู่ที่เมืองนาริตะ



มาที่นี่ได้มีโอกาสกินข้าวที่ร้านอาหารไทย ร้านแก้วใจ จานนี้ กระเพราไก่ไข่ดาว เมนูสิ้นคิด 55 ก็อร่อย แต่ราคาแพงที่สุดเท่าที่เคยกินกระเพราไก่ไข่ดาวมาคือประมาณจานละ 360 บาทไทย



สิ้นสุดการเดินทางทริปนี้ กลับไปนอนที่โรงแรม APA NARITA ตื่นเช้าขึ้นมาก็เดินทางกลับกรุงเทพครับ ข้อมูลที่มาบรรยายทั้งหมด จากมิสเตอร์ ทราเวล และไกด์คือคุณวิกรร สุดท้ายก็ขอขอบพระคุณที่สนใจอ่านบล๊อกของผมครับ ^^