วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2555

ทัวร์ญี่ปุ่น วันแรก (สนามบินนาริตะ – วัดนาริตะซัน – ไซตามะ – คาวาโกเอะ – พัตเล็ต ทาวน์)


ในการเดินทางไปญี่ปุ่นครั้งนี้ จะบรรยาย โดยมีภาพและแผนที่ประกอบจากโปรแกรม Google Earth โดยใช้อุปกรณ์ GPS Logger ตลอดการเดินทาง โดยการเดินทางครั้งนี้เริ่มจากสนามบินนานาชาติหาดใหญ่ โดยสายการบินแอร์เอเซีย เริ่มออกเดินทางเวลา 8.30 น. ของวันที่ 1 สิงหาคม 2555 เดินทางไปยังกรุงเทพ ออกเดินทางจากกรุงเทพเวลา 18.30 น.ไปยังประเทศญี่ปุ่น โดยสายการบินเวียดนามแอร์ไลน์ แวะเปลี่ยนเครื่องที่ประเทศเวียดนาม ออกจากประเทศเวียดนามตอนเที่ยงคืน เดินทางถึงประเทศญีปุ่น สนามบินนาริตะ เวลา 7.30 น. (ตามเวลาญี่ปุ่น เร็วกว่าไทย 2 ชม. GMT +9)


เช้าวันที่ 2 สิงหาคม 2555 รูปด้านบนเส้นสีเขียว แสดงเส้นทางการบิน จากกรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ผ่านจีน เกาหลีใต้ (เครื่องบินจะบินอ้อมให้ผ่านสนามบินให้มากที่สุด เผื่อเหตุฉุกเฉิน จะสามารถร่อนลงได้) เข้าเขตประเทศญี่ปุ่น หากนั่งเครื่องบินทางปีกซ้ายของเครื่องบิน จะสามารถเห็นภูเขาไฟฟูจิ ได้อย่างชัดเจน (ผู้เขียนนั่งปีกขวา เลยไม่เห็น ^^)



มุมมองแรกที่ได้เห็นประเทศญี่ปุ่นจากบนเครื่องบิน สิ่งที่เห็นคือ ต้นไม้ ทุ่งนา สีเขียว ช่วงนี้เป็นหน้าร้อนของญี่ปุ่น ไม่มีหิมะเลย (ร้อนมาก 55) และเครื่องบินลำใหญ่ ก็ร่อนลงสนามบินนาริตะอย่างนิ่มนวล



ลงจากเครื่องบินปุ๊บ เข้าห้องน้ำ ห้องน้ำที่นี่เป็นปุ่มกดหมดเลยครับ  แม้กระทั้งปิดประตูห้องน้ำ ยังต้องกดปุ่ม ทีแรกก็งงๆ ว่ากดปุ่มไหนดี แต่ดีหน่อยมีภาษาอังกฤษเขียนติดไว้ เลยพอเดาๆ ได้ ที่เห็น 4 ปุ่ม 4 สีเรียงติดกัน สีส้ม(Stop) ไว้หยุด สีฟ้า(Spray) ไว้ฉีดก้น สีครีมอ่อน(Bidet) ไว้ฉีดสำหรับผู้หญิง สีไข่ไก่(Dry) เป่าลมให้แห้ง จะเห็นว่ามีราวจับ ก็ไว้สำหรับคนพิการก็เข้าห้องน้ำนี้ได้


อุปกรณ์เล็กๆ ที่วางอยู่ขอบหน้าต่าง นั่นคือ GPS Logger ของ อ.กริช ทองขุนดำ (คนขวามือ) ต้องขอบคุณอาจารย์ครับ ผมได้ข้อมูล GPS Logger เอามาแมพลงบนแผนที่ได้


จากนั้นก็เดินทางไปยังที่หมายถัดไป ก็คือวัดนาริตะซัน อยู่ไม่ไกลจากสนามบินมาก รถสำหรับใช้เดินทางเป็นรถบัส ไปกับคณะเดินทางประมาณ 20 คน รถบัสนี้บริษัททัวร์ เช่ามาอีกทีนึง ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมง


“วัดนาริตะซัน” ตั้งอยู่บนเนินเขากลางเมืองนาริตะ วัดที่ได้รับความนิยมอย่างสูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันขึ้นปีใหม่จะคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่มาขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เลือกซื้อ “เครื่องราง” หรือ “ฮู้” ต่างๆ รวมทั้งสินค้าพื้นเมืองต่างๆมากมายในราคาเป็นกันเอง


รูปด้านบนเป็นบ่อน้ำศักดิสิทธิ์ ใช้ล้างหน้า และดื่ม


เจดีย์

เลือกซื้อ เครื่องราง หรือ ฮู้ แต่ละแบบจะมีคุณสมบัติบอกไว้ เช่น ให้สุขภาพแข็งแรง การเงิน การงาน เป็นต้น


ปิดท้ายที่วัดนี้ด้วย ถ่ายรูปกับโคม ขนาดใหญ่


เดินทางสู่ “จังหวัดไซตามะ” เป็นจังหวัดที่อยู่ภายในตัวเกาะฮอนชู ตั้งอยู่บนที่ราบคันโต จึงไม่มีพื้นที่ติดกับทะเลหรือมหาสมุทรเลย มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 39 และมีประชากรมากเป็นอันดับ 5 ของประเทศ หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง เมืองไซตามะได้เปลี่ยนแปลงจากเมืองกสิกรรมมาเป็นเมืองอุตสาหกรรม และเนื่องจากจังหวัดไซตามะตั้งอยู่ติดกับมหานครโตเกียวทำให้ความเจริญเติบโตเป็นเมืองเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วระบบการคมนาคมได้รับการพัฒนาอย่างดีจากศูนย์กลางในโตเกียว มีรถไฟและทางด่วนหลายสายแล่นผ่านมาจากทางโตเกียว มีการสร้างถนนรอบเมืองโตเกียว ทำให้ไซตามะเป็นจุดสำคัญมากในการเชื่อมต่อกับเขตโตโฮคุ โจชิเน็ตสึ และ จูบุ กับเมืองโตเกียว ใช้เวลาถึงภัตตาคารที่รับประทานอาหารเที่ยงประมาณ 3 ชั่วโมง


ภาพนี้ระหว่างนั่งอยู่บนรถบัส ข้างหน้ากำลังก่อสร้างทาง มองเห็นป้ายไฟ LED เป็นรูปคนยืนโบกธงแบบเคลื่อนไหวได้ บ้านเราน่าจะมีแบบนี้บ้างนะครับ


รับประทานอาหารแบบบุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่นแบบบาร์บิคิว ปิ้งย่าง มีเนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัวคัดพิเศษ อาหารทะเลสดๆ มาย่างบนกระทะร้อน พร้อมเครื่องเคียง ผักสด  อูด้ง ซุปมิโสะ พร้อมลิ้มลองซูชิแบบดั้งเดิม ข้าวปั้นหน้าต่างๆ รวมทั้งไอศครีมรสวานิลา ชาเขียว ชอคโกของหวานนานาชนิดและผลไม้ตามฤดูกาล 


อิ่มแล้วก็เดินทางไปยังเมือง “คาวาโกเอะ Kawagoe” เมืองอันเก่าแก่ที่อยู่ใกล้เมืองหลวงโตเกียวมากที่สุดอย่างที่ไม่เคยรู้ว่าน่าจะมีมาก่อนเลย ซึ่งลักษณะศิลปบ้านเรือน การค้าขายที่ยังคงกลิ่นไอของประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ ที่ยังคงอนุรักษ์อยู่ให้นักท่องเที่ยวได้ชม สองข้างทางเต็มไปดัวยร้านค้าประดับประดาสวยงาม



ร้านขายของกิีฟช็อป



เมื่องเก่าที่ยังคงอนุรักษ์ไว้


เดินทางสู่ “พัลเล็ตทาวน์” โชว์รูมโตโยต้าที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ชมรถยนต์สวยๆมากมายหลากหลายรุ่นที่นำมาจัดแสดงพร้อมด้วยราคาที่ดูแล้วอยากได้กลับมาเมืองไทยเหลือเกิน นอกจากนั้นยังมี Lexus รุ่นใหม่ที่เพิ่งผลิตออกมา รวมทั้งรถยนต์รุ่นเก่าที่หาดูได้ยากอีกนับไม่ถ้วน ด้านนอกมีศูนย์การค้า “วีนัสฟอร์ต” เอาใจคนช้อปปิ้งด้วยร้านค้ากว่า 150 ร้านภายใต้หลังคาท้องฟ้าจำลองที่สามารถเปลี่ยนสีเป็นสว่างจ้าหรือมืดครึ้มคล้ายฝนตกได้ตามแต่จะตั้งโปรแกรม 


ใครชอบคิตตี้ คงได้ซื้อแน่ ร้านนี้คิตตี้ทั้งร้าน


คล้ายๆ ชิงช้า แต่ไม่ใช่ เป็นแค่ไฟหมุน (อุตสาห์ลงทุนทำนะ)


ตอนเดินไปทานข้าวเย็น(ตอนค่ำ) ภาพมันสวยดี ^^


“สะพานเรนโบว์” ที่มีความยาว 570 เมตรและนับเป็นสะพานที่มีความยาวเป็นอันดับ 50 ของโลก พาดผ่านจากโอไดบะสู่เมืองโตเกียว ในยามอาทิตย์อัสดง ภาพแสงไฟระยิบระยับจากสะพานสายรุ้ง เรนโบว์ บริดจ์ ระยิบระยับแข่งกับแสงดาวบนฟากฟ้ามาหานครโตเกียว รวมทั้ง “เทพีสันติภาพ” เวอร์ชั่นญี่ปุ่นยืนถือคบเพลิงอยู่ริมอ่าว 


เดินทางไปยังที่พักคืนแรก โรงแรม TOKYO BAY MAKUHARI (โตเกียว) มองเห็นวิวอ่าวโตเกียว จบทริปวันแรกครับ ต่อด้วยทัวร์วันที่ 2 คลิกเลย



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น